วัดเชียงทองเป็นวัดที่เก่าแก่มากที่สุดวัดหนึ่งในหลวงพระบาง สร้างในระหว่าง พ.ศ. 2102-2103
โดยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช กษัตริย์ผู้ครองอาณาจักรล้านช้าง และ ล้านนา ก่อนที่พระองค์จะย้ายเมืองหลวงมายังนครหลวงเวียงจันทน์ไนานนัก วัดนี้ถือว่าเป็น วัดประตูเมือง และยังเป็นท่าเทียบเรือด้านเหนือ สำหรับการเสด็จประพาสทางชมมารถ ของกษัตริย์หลวงพระบาง วัดเชียงทองจึงได้รับการอุปถัมภ์มาโดยตลอด โดยเฉพาะ ในสมัยเจ้ามหาชีวิต ศรีสว่างวงศ์และเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนา กษัตริย์สอง พระองค์สุดท้ายของลาวด้วย นอกจากนี้วัดเชียงทองยังเป็นวัดหนึ่งที่รอดพ้นจากอัคคีภัยครั้งใหญ่ที่ เผาผลาญเมือง ในปี พ.ศ.2430 สิ่งก่อสร้างที่สำคัญ ซุ้มประตูโขง พระธาตุ พุทธสีมา หอไหว้น้อย หอไหว้สีกุหลาบ หอไหว้หลังสิม หอกลอง หอราชโกศเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ ในบรรดาวัดทั้งหลายในหลวงพระบาง สิมของวัดเชียงทองได้รับการยกย่องว่ามีความงดงามและได้รับการกล่าวขานมากที่ สุด เปรียบประดุจอัญมณีแห่งงานสถาปัตยกรรมลาว สิมของวัดนี้ถือว่าเป็นแบบหลวงพระบางแท้ สร้างด้วยการก่ออิฐถือปูน มีโครงสร้างที่ไม่สูงนักตามแบบฉบับหลวงพระบาง งดงามด้วย สัดส่วนและการประดับตกแต่ง สิ่งที่เด่นมากคือ หลังคาซ้อน 3 ตับซึ่งดัดอ่อนโค้งและลาดต่ำลงมามาก ทั้งนี้เพื่อป้องกันฝนสาด บนกลางสันหลังคามีการทำ ช่อฟ้า รูปเขาพระสุเมรุและทิวเขาสัตบริภัณฑ์ที่ล้อมรอบ 7 ชั้น รองรับด้วยปลาอานนท์ อันเป็นรูปการจำลองจักรวาลตามคติทางพุทธศาสนาเช่น เดียวกับที่ปรากฎ ใน จิตรกรรมของล้านนา และอยุธยา หน้าบันแกะสลักเป็นรูปดอกตาเว็นหรือลายดวงอาทิตย์ ที่ดูคล้าย ลายดอกจอกของไทยเมื่อเดินขึ้นบนสิมจะพบกับมุขโถงด้านหน้ากว้าง ใช้สำหรับเป็นที่วางเครื่องบวช และ ที่นั่งของศรัทธา ที่มาทำ
โดยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช กษัตริย์ผู้ครองอาณาจักรล้านช้าง และ ล้านนา ก่อนที่พระองค์จะย้ายเมืองหลวงมายังนครหลวงเวียงจันทน์ไนานนัก วัดนี้ถือว่าเป็น วัดประตูเมือง และยังเป็นท่าเทียบเรือด้านเหนือ สำหรับการเสด็จประพาสทางชมมารถ ของกษัตริย์หลวงพระบาง วัดเชียงทองจึงได้รับการอุปถัมภ์มาโดยตลอด โดยเฉพาะ ในสมัยเจ้ามหาชีวิต ศรีสว่างวงศ์และเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนา กษัตริย์สอง พระองค์สุดท้ายของลาวด้วย นอกจากนี้วัดเชียงทองยังเป็นวัดหนึ่งที่รอดพ้นจากอัคคีภัยครั้งใหญ่ที่ เผาผลาญเมือง ในปี พ.ศ.2430 สิ่งก่อสร้างที่สำคัญ ซุ้มประตูโขง พระธาตุ พุทธสีมา หอไหว้น้อย หอไหว้สีกุหลาบ หอไหว้หลังสิม หอกลอง หอราชโกศเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ ในบรรดาวัดทั้งหลายในหลวงพระบาง สิมของวัดเชียงทองได้รับการยกย่องว่ามีความงดงามและได้รับการกล่าวขานมากที่ สุด เปรียบประดุจอัญมณีแห่งงานสถาปัตยกรรมลาว สิมของวัดนี้ถือว่าเป็นแบบหลวงพระบางแท้ สร้างด้วยการก่ออิฐถือปูน มีโครงสร้างที่ไม่สูงนักตามแบบฉบับหลวงพระบาง งดงามด้วย สัดส่วนและการประดับตกแต่ง สิ่งที่เด่นมากคือ หลังคาซ้อน 3 ตับซึ่งดัดอ่อนโค้งและลาดต่ำลงมามาก ทั้งนี้เพื่อป้องกันฝนสาด บนกลางสันหลังคามีการทำ ช่อฟ้า รูปเขาพระสุเมรุและทิวเขาสัตบริภัณฑ์ที่ล้อมรอบ 7 ชั้น รองรับด้วยปลาอานนท์ อันเป็นรูปการจำลองจักรวาลตามคติทางพุทธศาสนาเช่น เดียวกับที่ปรากฎ ใน จิตรกรรมของล้านนา และอยุธยา หน้าบันแกะสลักเป็นรูปดอกตาเว็นหรือลายดวงอาทิตย์ ที่ดูคล้าย ลายดอกจอกของไทยเมื่อเดินขึ้นบนสิมจะพบกับมุขโถงด้านหน้ากว้าง ใช้สำหรับเป็นที่วางเครื่องบวช และ ที่นั่งของศรัทธา ที่มาทำ
เป็น ภาพพระพุทธองค์เสด็จลงมาจากดาวดึงส์ และนิทานพื้นบ้านงดงามทคนิคการประดับ กระจกเช่นนี้ยังพบได้ที่ในท้องพระโรง ของ พระราชวัง เจ้าชีวิตลาว ภาพประดับกระจกนี้ดูงดงามเมื่อต้องแสงจึงเป็นมุมหนึ่งที่นักท่องเที่ยวนิยม มาถ่ายรูปมากหอไหว้น้อย ตั้งอยู่ด้านหน้าของสิม เป็นหอ ไหว้ขนาดเล็กที่มีหลังคารูปด้วยใบโพธิ์ตัดครึ่ง อันเป็นรูปแบบของลาวดั้งเดิม ซึ่งประดับกระจกสีงดงามายในประดิษฐานพระพุทธ รูปหลาย องค์ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯได้พระราชทานให้แก่เจ้ามหาชีวิตศรีสว่าง วงศ์ หอไหว้สีกุหลาบ ตั้งอยู่ด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ ของสิมเป็น หอไหว้เก่าแก่ ที่ได้รับการ บูรณะ ครั้งใหญ่โดยท้าวคำม้าว เมื่อ พ.ศ.2500 เพื่อ เป็นการฉลอง 25 พุทธศตวรรษของพระพุทธศาสนาจึงมีการประดับด้วยกระจกตัดเป็นภาพ เล่าเรื่องต่าง ๆ เช่นเรื่องท้าวเสียวสวาด ซึ่งเป็นวรรณกรรมชั้นเอกของลาว ภายในมีพระพุทธรูปปางไสยาสน์สำริด อายุกว่า 400 ปี สร้างในสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ในปี พ.ศ. 2112 ฝรั่งเศสเคยอัญเชิญ พระพุทธรูป องค์นี้ไปแสดงไว้ที่กรุงปารีสและเจ้าสุวรรณภูมาทรงขอกลับคืนมาประดิษฐาน เมื่อ 70 ปีที่แล้ว และที่ดูแปลกตาคือช่องบรรจุ พระพุทธรูปขนาดเล็ก จำนวนนับพันองค์บน ผนังภายใน หอไหว ้ เชื่อว่าเป็นความคิดเรื่องพระอนันตพระพุทธเจ้า หอไหว้ใหญ่หลังสิม ตั้งอยู่ด้านทิศตะวันตกของสิม เป็นหอไหว้เก่าแก่ที่ได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่ ในส่วนของแขนนางได้ทำขึ้นไม่โดยกลุ่มสกุลช่างของ เพียตันช่าง ประจำพระราชสำนัก หอไหว้หลังนี้ประดิษฐานพระม่าน(พระพม่า) ที่ชาวหลวงพระบางนับถือเนื่องด้วยพม่าได้เข้ามามีอิทธิพลในล้านช้าง อยู่ระยะหนึ่งในช่วงท้าย พุทธศตวรรษที่ 21 ชาวลาวนิยมมาบนบานเพื่อขอบุตรจากพระม่าน หอกลอง ตั้งอยู่ด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ด้านหน้าสิมสร้างขึ้นในราวปี พ.ศ.2503 หอกลองแห่งนี้ยกพื้นขึ้นมาราวครึ่งเมตร มีการประดับตกแต่งด้วยลายทองงดงาม ในช่วงเย็นราว 16.30 น.เณรน้อยจะมาตีกลองเพื่อบอกเวลาในการทำวัตรของพระสงฆ์ หอราชโกศเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์(โรงเมี้ยนโกศ) สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2505 หลังการสิ้นพระชนม์ของเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ ในปี พ.ศ.2502 ที่นี่เป็นอาคาร ที่มีหลังคา สูงประดับด้วยงานแกะสลักเรื่องรามเกียรติ์งดงาม เช่นรูปนางสีดาลุยไฟ ออกแบบโดยเจ้ามะนีวง และแกะสลักด้วยนายช่างภายใต้การควบคุมของพ่อเฒ่าเพียตัน (เพีย เป็นตำแหน่งพระราชทาน หมายถึง พระยา) ช่างใหญ่
ประจำพระราชสำนัก หอราชโกศนี้ใช้เป็นพิพิธภัณฑ์เก็บรักษามรดกเก่าแก่ของหลวงพระบาง เช่น ราชรถไม้แกะสลักปิดทอง ประดิษฐานพระโกศ 3 องค์ คือองค์ใหญ่ตรงกลางเป้นของเจ้าศรีสว่างวงศ์ องค์เล็กด้านหลังของ พระราชมารดา ส่วนองค์ด้านหน้าเป็นของ พระเจ้าอา นอกจากนั้นยังมีศิลปวัตถุจำนวนมาก เช่น พระพุทธรูป บานประตูโบราณภาพพระบฎ เป็นต้น ลักษณะพิเศษของหอราชโกศคือ ฝาผนังด้านหน้าสามารถ ถอดออก ได้ทั้งหมดเพื่อเคลื่อนราชรถออก พระธาตุ พระธาตุเจดีย์ในวัดเชียงทองมีจำนวนหลายองค์ ทั้งทางด้านหน้าและด้านหลังของสิมบางองค์มีการประดับด้วยกระจกสีบางองค์มี ซุ้มขนาดเล็กด้านบนเป็นรูปฤษีอยู่เหนือซุ้ม เชื่อว่าเป็นหอบูชาพระฤษี ซุ้มประตู เป็นประตูโค้งทาสีเขียว สร้างมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 21 แม้จะมีการบูรณะบ้างแต่ยังคงรักษาโครงสร้างเดิมไว้ ปัจจุบันพบเพียงด้านทิศใต้เท่านั้น กุฏิ เป็นที่ พำนักของพระภิกษุและสามเณร กุฏิหลังที่ตั้งด้านทิศใต้ของสิมมีลักษณะเป็นเรือนหลังคาแฝดสองหลังเช่น เดียวกับเรือนในเมืองหลวงพระบาง
ข้อมูล จาก หนังสือ วัดในหลวงพระบาง โดย วรสัญจ์ บุณยสุรัตน
โรงราชโกศเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ ที่วัดเชียงทอง สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2505 หลังการสิ้นพระชนม์ของเจ้ามหาชีวิตศรีสว่าวงศ์ พ.ศ. 2502 เป็นอาคารสูงประดับด้วยงานแกะเรื่องรามเกียรติ์